รู้จัก “การตลาดออนไลน์” ฮีโร่เพิ่มยอดขายสำหรับธุรกิจ อัปเดตเทรนด์ 2023

การตลาดออนไลน์ Online Marketing คืออะไร?

ปัจจุบัน การตลาดออนไลน์ (Online Marketing) กลายเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจสมัยใหม่ เพราะยุคนี้ไม่ว่าใครก็เข้าถึงโลกของอินเตอร์เน็ตได้ง่าย ๆ นอกจากนี้ยังมีเทรนด์ใหม่ ๆ ของการตลาดออกมาอยู่เสมอในทุก ๆ ปี

หากผู้ประกอบการ ธุรกิจร้านค้าปลีก ต้องการให้ร้านค้าของตนมีความก้าวหน้าทันยุคทันสมัย ควรจะต้องศึกษาและอัปเดตข้อมูลเกี่ยวกับการตลาดออนไลน์เอาไว้ด้วย จะได้นำปรับใช้กับธุรกิจของตัวเองให้เติบโตต่อไปได้อย่างยั่งยืน

1. การตลาดออนไลน์ คืออะไร?

การตลาดออนไลน์ (Online Marketing) คือ ช่องการการตลาดอย่างหนึ่งใน การตลาดดิจิทัล (Digital Marketing) เป็นการทำให้ธุรกิจหรือสินค้าเป็นที่รู้จักโดยการเผยแพร่ผ่านช่องทางต่าง ๆ บนโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น Seach Engine (Google, Yahoo), Social Media (Facebook, Instagram), Video (Youtube, Tiktok) รวมถึงช่องทางออนไลน์ทุกแพลตฟอร์ม/ทุกรูปแบบ เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ได้รับความสนใจ มีการเข้ามาเยี่ยมชม ไปจนถึงตัดสินใจซื้อสินค้าและใช้บริการ

🔸 การตลาดดิจิทัล (Digital Marketing) มี 2 แบบ ได้แก่ 

  • 1. Offline Marketing การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลทำการตลาด โดยไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต เช่น ป้ายบิลบอร์ด, โฆษณาผ่านทางทีวีบน BTS, โปรโมชั่นต่าง ๆ บนหน้าจอแท็บเล็ตในร้าน 7-11
  • 2. Online Marketing การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลทำการตลาดผ่านสื่อออนไลน์ ที่ต้องมีการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต โดยไม่รวมกับสื่อออฟไลน์ อย่างที่เราได้อธิบายไว้ข้างต้น

📌 แต่ปัจจุบันผู้คนส่วนใหญ่ก็มักเรียก การตลาดดิจิทัล (Digital Marketing) รวมกันกับการตลาดออนไลน์ (Online Marketing) แล้ว เพราะส่วนใหญ่การตลาดมักจะทำบนออนไลน์

2. ช่องทางการตลาดออนไลน์ มีอะไรบ้าง?

ช่องทางการตลาดออนไลน์

INFO – ช่องทางการตลาดออนไลน์

1. Search Engine Optimization (SEO)

การปรับแต่งเนื้อหาทุกหน้าของเว็บไซต์ให้มีคุณภาพ ให้ไปติดอันดับแรก ๆ ของคำค้นหาที่ตรงกับสินค้าและบริการในธุรกิจ เพื่อให้ลูกค้าที่เสิร์ช Keyword สามารถเข้าถึงสินค้าและบริการของธุรกิจได้แบบ Organic (พูดง่าย ๆ คือการทำให้หน้าเว็บติดอันดับ Google โดยไม่มีการจ่ายเงินเพื่อโฆษณา)

ตัวอย่างเช่น เมื่อคุณเสิร์ชหา “ชั้นวางสินค้า” ใน Google คุณจะเจอกับ ชั้นวางสินค้า PN เป็นอันดับแรกของการเสิร์ช

2. Pay-Per-Click (PPC) หรือ Paid Search

การจ่ายเงินเพื่อซื้อโฆษณาบน Google Ads ทำให้ลูกค้ามองเห็นเว็บไซต์เป็นอันดับแรก ๆ เมื่อพวกเขาเสิร์ช Keyword ที่ตรงกับธุรกิจเข้ามา ซึ่งจะเห็นก่อนอันดับ 1 แบบ Organic แต่จะเห็นคำว่า “ได้รับการสนับสนุน, โฆษณา, Ads” อยู่บนเว็บด้วย

3. Social Media Marketing (SMM)

การใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียทำการตลาดออนไลน์เชื่อมต่อกับกลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้ข้อมูลเพิ่มการรับรู้แบรนด์เกี่ยวกับสินค้าบริการในธุรกิจ สามารถทำได้ทั้งโปรโมท โฆษณา ประชาสัมพันธ์ ทำโปรโมชั่น และโต้ตอบกับลูกค้า ผ่านช่องทาง Facebook, Instagram, Twitter หรือ LINE

4. Content Marketing

การสร้างและเผยแพร่เนื้อหาที่มีคุณค่าโดยใช้คอนเทนต์เป็นสื่อกลาง ไม่ว่าจะเป็น บทความ/บล็อกโพสต์ อินโฟกราฟิก รูปวาด วิดีโอ และพ็อดแคสต์ เพื่อดึงดูดให้กลุ่มเป้าหมายมีส่วนร่วมกับสารที่ส่งออกไป โดยจะต้องวิเคราะห์และเลือก “สาร” ให้ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายได้ตรงกับแพลตฟอร์ม ทั้งเว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย ช่องทางวิดีโอ หรือแชทลูกค้า

5. Email Marketing

การส่งอีเมลแจ้งข่าวสาร หรือโปรโมชั่นส่งเสริมการขายไปยังสมาชิกเพื่อให้พวกเขาทราบเกี่ยวกับธุรกิจและผลิตภัณฑ์ของคุณ การตลาดออนไลน์ประเภทนี้ ลูกค้าจะต้องเคยใช้อีเมลสมัครรับข้อมูลจากองค์กรของคุณก่อน

6. Website Marketing

ทำการตลาดออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ของคุณเอง ทำได้โดยการ จัดโปรโมชั่น สินค้าบนเว็บไซต์ หรือการแปะแบนเนอร์ (Banner) ไว้ในบทความ (Blog) ซึ่งก็จะเชื่อมโยงกับ SEO และ PPC ด้วย เพราะถ้าเว็บของคุณติดอันดับ Google หรือซื้อ Ads ไว้ เมื่อลูกค้าเข้ามาในเว็บก็จะมีโอกาสเห็นโปรโมชั่นหรือแบนเนอร์ต่าง ๆ ที่คุณได้ทำไว้บนเว็บ

# บางธุรกิจก็ใช้วิธีการทำแบนเนอร์ไปแปะในเว็บไซต์อื่น ๆ เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายคลิกแบนเนอร์มายังเว็บไซต์ของเรา (โดยเว็บที่นำแบนเนอร์ไปแปะ จะต้องถูกวิเคราะห์มาแล้วว่าผู้ใช้บริการเว็บนั้นจะตรงกับกลุ่มเป้าหมายของธุรกิจเรา)

7. Video Marketing

ทำการตลาดออนไลน์โดยใช้การนำเสนอด้วยคลิปวิดีโอ เพื่อเพิ่มการเข้าถึงจากกลุ่มเป้าหมายที่ชอบเสพสื่อประเภทนี้ ซึ่งจะทำให้เจาะกลุ่มลูกค้าได้หลากหลายมากขึ้น เพราะวิดีโอมีภาพ เสียง การเคลื่อนไหว จึงสามารถดึงดูดลูกค้าและกระตุ้นความอยากซื้อสินค้ามากขึ้นได้

โดยการทำ Video Marketing จะต้องวางแผน กำหนดจุดประสงค์ หัวข้อ รูปแบบการนำเสนอ ให้ตรงกับสิ่งที่ลูกค้าอยากเห็น เพื่อนำไปเผยแพร่ในแพลตฟอร์มของวิดีโอ เช่น Youtube, YouTube Shorts, Tiktok, Reels ใน Instagram/Facebook, Video IG Stories ไปจนถึงบนเว็บไซต์หรืออีคอมเมิร์ซ ก็จะมีวิดีโอแปะอยู่เพื่อเพิ่มทางเลือกในการเสพสื่อให้ลูกค้าได้อีกขั้น

8. Influencer Marketing

การทำการตลาดออนไลน์ โดยการใช้ผู้ที่สามารถสร้างแรงจูงใจในการซื้อสินค้าและบริการผ่านการโปรโมทผ่านโซเชียลมีเดียแพลตฟอร์มต่าง ๆ ทั้ง Instagram, Youtube, Facebook, Twitter Tiktok และ Influencer เหล่านั้นมักจะเป็นที่ชื่นชอบของผู้ติดตาม ไม่ว่าจะเป็นคนมีชื่อเสียง ดาราศิลปิน ไอดอล นักร้อง นักแสดง ยูทูบเบอร์ บล็อกเกอร์ คนที่มีผู้ติดตามด้านแฟชั่น ไลฟ์สไตล์ เทคโนโลยี ความสวยความงาม หรือผู้เชี่ยวชาญในวงการนั้น ๆ ที่มีอิทธิพลมากพอในการโน้มน้าวชักจูงผู้คนให้คล้อยตามและไปซื้อสินค้าตามได้ ด้วยการโพสต์รูปภาพ/วิดีโอสินค้า หรือทำคอนเทนต์รีวิวแนะนำสินค้าต่าง ๆ

9. Affiliate Marketing

การตลาดที่ใช้ผู้ช่วยในการโปรโมทผ่านช่องทางต่าง ๆ โดยที่พวกเขาไม่จำเป็นต้องเป็น Influencer เพียงแค่เป็นคนทั่วไปที่ตั้งใจทำคอนเทนต์ในรูปแบบใดก็ได้ทั้งข้อความ วิดีโอ, รูปภาพ ผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น Tiktok, Facebook Twitter, Instagram และแอปพลิเคชันอื่น ๆ แล้วมียอดเข้าถึง ยอดเอนเกจเม้นท์ จนกระทั่งผู้คนสนใจและคลิกลิงก์เข้ามาซื้อสินค้าใน Shopee, Lazada ก็จะทำให้เจ้าของธุรกิจมียอดขาย ส่วนผู้ช่วยโปรโมทเหล่านั้นก็จะได้ค่าคอมมิสชัน

3. เทรนด์การตลาดออนไลน์ 2023 มีอะไรน่าเล่น?

เทรนด์การตลาดออนไลน์ 2023

INFO – เทรนด์การตลาดออนไลน์ 2023

1. Short Video

ความรวดเร็วของการเสพคอนเทนต์ของผู้บริโภค ทำให้คอนเทนต์วิดีโอสั้นอย่าง Tiktok, Reels ได้รับความนิยมสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทุกคนลองสังเกตว่าเมื่อเราดูวิดีโอแนวนี้ เราจะดูได้นานกว่าปกติ หรือเวลาที่เข้า Tiktok จะรู้สึกว่าเราอยู่กับมันได้นาน “เข้าแล้วออกยาก” จริงมั้ยคะ? (ตัวผู้เขียนเองก็เป็น)

ถ้าเราสังเกตคอนเทนต์วิดีโอสั้นที่มียอดวิว+ไลก์+แชร์สูง ๆ จะเห็นว่าเนื้อหา การตัดต่อ เพลง เสียงพากษ์ ข้อความ และการตกแต่งต่าง ๆ มักถูกนำมาใช้รวมกันในคลิปคลิปเดียวอย่างสร้างสรรค์ เมื่อผ่านตาผู้ใช้งาน ทำให้พวกเขาเสพและเข้าใจเนื้อหาทั้งหมดโดยสรุปได้อย่างรวดเร็ว จึงทำให้วิดีโอสั้นไม่ว่าจากแอปไหนก็ตาม มักจะมียอดวิว ยอดเข้าถึงเยอะขึ้นได้ง่าย ๆ สำหรับ เทรนด์การตลาด 2023 การทำคอนเทนต์ Short Video จึงน่าทำมากที่สุด

2. Influencer Marketing

ถือว่าเป็นการตลาดออนไลน์ที่ได้ผลลัพธ์และผลตอบแทนดีที่สุดจากการลงทุน (มี Return on Investment) สูงสุด เพราะกลยุทธ์นี้เป็นการบอกต่อจากคนดังหรือคนที่มีชื่อเสียงบนโลกออนไลน์ไม่ว่าจะช่องทางใดก็ตาม วิธีนี้ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในวงกว้างและสร้างความน่าเชื่อถือได้ง่ายขึ้น เนื่องจากผู้คนที่ติดตามจะมีความชื่นชอบ Influencer เหล่านั้นอยู่เป็นทุนเดิม เมื่อ Influencer โปรโมทสินค้า จึงทำให้ผู้ติดตามมีโอกาสที่จะไปซื้อสินค้าตามได้อย่างง่ายดาย

3. Website SEO

ยังเป็นการตลาดออนไลน์ที่ควรจะทำอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะการที่เว็บไซต์จะไปโชว์อยู่บนหน้า 1 Google เพื่อให้ผู้คนที่เสิร์ชหาสินค้าหรือบริการต่าง ๆ ได้เห็น ก็ต้องอาศัยการทำ SEO อย่างละเอียดและใส่ใจ ทั้งในหน้าบทความ หน้าแรกของเว็บไซต์ หรือหน้าสินค้า ผู้บริโภคยังคงเสิร์ชหาข้อมูลและสิ่งที่ต้องการใน Google อยู่

4. คน (People)

ความต้องการของลูกค้า มีผลกระทบต่อการตลาดในประเทศไทย ปี 2023 มากที่สุด จึงควรให้ความสำคัญกับคน (People) มากที่สุดในการทำการตลาดเพื่อให้เกิดผลกำไรตามมา จึงควรพัฒนาทักษะด้านการสื่อสาร, การวิเคราะห์ลูกค้า, การทำคอนเทนต์อย่างสร้างสรรค์ ให้มีประสิทธิภาพอยู่เสมอ ทั้งการสื่อสารผ่านการตอบแชทโดยแอดมิน การสื่อสารผ่านคอนเทนต์ที่เผยแพร่ออกไป รวมถึงการวิเคราะห์ความชอบ ความต้องการของลูกค้า เพื่อที่จะตอบคำถาม+ตอบโจทย์สิ่งที่พวกเขาอยากรู้ได้อย่างตรงจุด

5. Direct Message

การที่ลูกค้าสามารถกดเพื่อเลือกคำถาม-คำตอบ รวมถึงสั่งซื้อสินค้าได้เอง โดยไม่ต้องรอให้แอดมินมาตอบเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยตอบโจทย์ความต้องการที่รวดเร็วของลูกค้า อาจจะต้องพัฒนา Chat Bots ที่มีประสิทธิภาพให้สามารถตอบลูกค้าได้โดยอัตโนมัติ เพื่อช่วยรักษาความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้าไว้ แต่ถ้ายังไม่สามารถพัฒนาไปถึงขั้นนั้นได้ อาจต้องให้แอดมินหรือพ่อค้าแม่ค้า เน้นการตอบไวแบบรวดเร็วทันใจ เมื่อลูกค้าถามอะไรมา เพื่อปิดการขายได้ไวที่สุด

6. E-Commerce

การช้อปปิ้งออนไลน์ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเป็นแพลตฟอร์มที่นักการตลาดเลือกที่จะลงทุน โดยนำมาสร้างสรรค์ให้เชื่อมโยงกับ Content ตัวอย่างเช่น ในเว็บ E-Commerce ใหญ่ ๆ อย่าง Shopee, Index Living Mall มีรูปภาพที่สวยงาม มีคำบรรยายแนะนำสินค้า มีวิดีโอประกอบในหน้าสินค้า และมีการเขียนให้ข้อมูลหรือเงื่อนไขเกี่ยวกับสินค้าอย่างละเอียดในด้านล่างของหน้าเว็บ เพื่อให้ลูกค้าได้ข้อมูลความรู้ต่าง ๆ เกี่ยวกับสินค้าที่พวกเขากำลังจะซื้ออย่างครบถ้วน

7. Hyper Personalization

การตลาดเฉพาะบุคคล ที่เป็นการนำ Big-Data มาวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า เพื่อให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้าแบบเฉพาะเจาะจงสำหรับบุคคลนั้น ๆ ได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น โดยลูกค้าจะได้ประสบการณ์การช้อปปิ้งที่เป็นส่วนตัวมากขึ้นกว่าเดิม ทำให้ลูกค้าประทับใจ และรู้สึกเป็นคนพิเศษของแบรนด์หรือธุรกิจนั้น ๆ โดยพวกเขาไม่จำเป็นต้องเลือกเอง แต่แบรนด์จะช่วยเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตรงกับสิ่งที่ลูกค้าต้องการ ซึ่งแต่ละคนจะได้รับสิ่งที่แบรนด์คัดสรรมาให้ไม่เหมือนกัน ตัวอย่างเช่น Spotify ที่มีเพลย์ลิสต์สำหรับคุณ, Shopee Lazada Shein ที่มีสินค้าที่เกี่ยวข้องแนะนำใต้สินค้าที่เราสนใจ

8. Affiliate Marketing

เป็นเทรนด์การตลาดออนไลน์ 2023 ที่มาแรงมาก ๆ ในช่วงนี้ เพราะเป็นการตลาดที่ใคร ๆ ก็ทำได้ แม้คุณจะมีผู้ติดตามไม่มาก เป็นคนทั่วไปที่ไม่ใช่ Influencer แต่ขอแค่คุณทำคอนเทนต์ให้ปัง ให้มียอดเข้าถึง มียอดเอนเกจเม้นท์ จนกระทั่งพวกเขาคลิกลิงก์ไปซื้อสินค้าตามคุณได้ คุณก็จะได้ค่าคอมมิสชันจากการซื้อสินค้านั้น ๆ ส่วนเจ้าของแบรนด์ก็ได้โปรโมทสินค้า ได้ยอดขายเพิ่มโดยที่ไม่ต้องเสียเงินจ่ายค่า Ads หรือค่าจ้าง Influencer แพง ๆ

ซึ่งการทำการตลาดแบบนี้ มีโอกาสที่จะเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้หลากหลายมากขึ้น อีกทั้งยังกระจายรายได้ให้กับคนทั่วไปที่ไม่ใช่ Influencer ได้มีโอกาสในการทำคอนเทนต์เพื่อเป็นผู้ช่วยโปรโมทสินค้าด้วย สามารถทำได้ทั้ง

  • วิดีโอสั้นใน Tiktok, Reels, Youtube Shots
  • โพสต์รีวิวสินค้าใน Twitter, Facebook, Instagram
  • คลิปยาวใน Youtube, Facebook
  • โพสต์คอนเทนต์เป็นไอเดียต่าง ๆ ใน Lemon8

ทั้งหมดนี้เพื่อลิงก์ไปยังหน้าสินค้า Shopee, Lazada, Tiktokshop (แต่ก่อนจะทำ ต้องไปสมัคร Affiliate ในแอพก่อนนะคะ)

4. แนวทางทำการตลาดออนไลน์ สำหรับธุรกิจร้านค้าปลีก

เทรนด์การตลาดออนไลน์ 2023

INFO – แนวทางทำการตลาดออนไลน์ สำหรับธุรกิจร้านค้าปลีก

สำหรับเว็บไซต์ PN Storetailer ที่เน้นให้ความรู้เรื่องธุรกิจค้าปลีกเป็นหลัก ผู้เขียนมีกลยุทธ์ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ ที่ได้หาข้อมูลลิสต์มาให้ทุกคนได้อ่าน และนำไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ว่าควรทำการตลาดออนไลน์ยังไงให้เพิ่มยอดขายหรือเพิ่มกำไรให้กิจการของคุณได้

การตลาดออนไลน์ด้านเว็บไซต์

  • 1. สร้างเว็บไซต์ธุรกิจของคุณ ปัจจุบันการสร้างเว็บไซต์ไม่จำเป็นต้องเรียนรู้โค้ดมากมาย เพียงแค่ใช้ WordPress และใช้เทมเพลตง่าย ๆ ที่มีมาให้อยู่แล้ว คุณก็มีเว็บไซต์ธุรกิจได้แล้ว
  • 2. สร้างบล็อก สำหรับธุรกิจของคุณและโพสต์บทความ รวมถึงเคล็ดลับที่เกี่ยวข้อง
  • 3. ทำ SEO คอนเทนต์ในเว็บไซต์หรือบทความให้มีคุณค่าน่าติดตามเพื่อให้เว็บไซต์ของคุณไปติดอันดับ Google
  • 4. ยิง Ads บน Google เพื่อให้หน้าเว็บของคุณโชว์ในหน้า Search (ควรศึกษาเรื่องการยิง Ads ให้ละเอียดก่อนลงมือ เพราะถ้าไม่เชี่ยวชาญ อาจทำให้คุณเสียเงินเปล่า)
  • 5. ปักหมุดร้านค้าของคุณใน Google my business เพื่อให้ร้านค้าไปโชว์ใน Map

การตลาดออนไลน์ด้านโซเชียลมีเดีย

  • 6. สร้างเพจ Facebook, Instagram, Twitter, Line OA ของธุรกิจ เพื่อให้ผู้คนได้ไปติดตาม
  • 7. สร้างโพสต์อัปเดตข้อมูลข่าวสาร ประชาสัมพันธ์ และคอนเทนต์โปรโมทสินค้าอยู่เป็นประจำ
  • 8. เข้า Facebook Group ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ และอยู่ในพื้นที่ร้านค้าของคุณ เพื่อโปรโมทเพจ (ต้องดูเงื่อนไขของการเข้ากลุ่มด้วยว่า สามารถโพสต์ได้มากน้อยแค่ไหน)
  • 9. ยิง Ads เพื่อให้โปรไฟล์ธุรกิจของคุณไปโชว์ในพื้นที่ที่ใกล้เคียงกับร้านค้าของคุณ (ควรศึกษาเรื่องการยิง Ads ให้ละเอียดก่อนลงมือ เพราะถ้าไม่เชี่ยวชาญ อาจทำให้คุณเสียเงินเปล่า)
  • 10. มีการ Live ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย เพื่อขาย โปรโมท ทำโปรโมชั่นสินค้า รวมถึงพูดคุยโต้ตอบกับลูกค้าด้วย

การตลาดออนไลน์ด้านวิดีโอ

  • 11. สร้างช่อง Youtube และ Tiktok เพื่อให้ผู้คนไปติดตาม
  • 12. ทำคอนเทนต์วิดีโอที่เป็นประโยชน์ ลงในช่องทั้งแบบยาวและแบบสั้น และต้องเป็นคอนเทนต์ที่เกี่ยวกับสินค้าในธุรกิจของคุณด้วยนะ
  • 13. ทำคอนเทนต์ไลฟ์สไตล์ภายในร้านค้าของคุณเอง เพราะยุคนี้ไม่ว่าจะเป็นคอนเทนต์แนวสาระ แนวมีประโยชน์ แนวตลก หรือแนวไลฟ์สไตล์ ถ้ามันเป็นตัวตนของคุณและโดนใจผู้ติดตาม พวกเขาก็พร้อมซัพพอร์ตคุณแล้วนะ เมื่อมีคนเข้ามาชอบคอนเทนต์แล้ว เราก็ใช้สินค้าภายในร้านมาโปรโมทได้เลย
  • 14. ทำโปรโมชั่นแปลกประหลาดที่ดึงดูดความสนใจ เป็นรูปแบบของวิดีโอเพื่อให้เป็นไวรัล (อาจจะต้องคำนึงถึงความเหมาะสมของวิดีโอด้วยนะคะ ว่ามันแปลกประหลาดเกินไปจนอาจทำให้ทัวร์ลงรึเปล่า เพราะคอนเทนต์ประหลาดที่ทำให้เป็นกระแส อาจเป็นได้ทั้งกระแสบวกและกระแสลบ)

การตลาดด้าน Influencer

  • 15. จ้างคนมีชื่อเสียงย่านนั้น หากบริเวณร้านค้าปลีกของคุณมีคนที่มีชื่อเสียงในย่านนั้น ก็สามารถจ้างพวกเขาเข้ามาโปรโมทที่หน้าร้านได้
  • 16. จ้าง Youtuber เข้ามาใช้บริการและให้พวกเขาทำคอนเทนต์ลงช่อง
  • 17. เลือก Influencer ที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่สุด เพราะค่าจ้างจะสูงขึ้นตามจำนวนยอดผู้ติดตาม หากมีชื่อเสียงมาก ก็จะมีค่าจ้างที่สูงตามขึ้นไป
  • 18. ให้ลูกค้าถ่ายรูปเพื่อเช็กอินร้านของคุณ คุณอาจจะให้ส่วนลดหรือของขวัญในร้านเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อจูงใจพวกเขาด้วย เมื่อลูกค้าเช็กอินแล้ว บางครั้งลูกค้าก็อาจจะมีผู้ติดตามเยอะ ถ้าร้านค้าของคุณน่าสนใจ อาจทำให้มีคนอยากมาเพิ่มมากขึ้น

สรุปทิ้งท้าย

สำหรับใครที่กำลังมองหาวิธีการทำการตลาดออนไลน์ ทั้งสำหรับธุรกิจร้านค้าปลีก ธุรกิจออนไลน์ หรือธุรกิจอื่น ๆ หวังว่าคอนเทนต์นี้ที่เราได้รวบรวมสาระสำคัญมาแบบกระชับ เข้าใจง่าย ได้ใจความ ทุกคนจะอ่านแล้วได้ไอเดียในการนำไปใช้กับธุรกิจของตัวเองกันนะคะ ทีนี้เรามาดูสรุปกัน!

1. การตลาดออนไลน์ (Online Marketing) คือ ช่องการการตลาดอย่างหนึ่งใน การตลาดดิจิทัล (Digital Marketing) เป็นการทำให้ธุรกิจหรือสินค้าเป็นที่รู้จักโดยการเผยแพร่ผ่านช่องทางต่าง ๆ บนโลกออนไลน์

2. ช่องทางการตลาดออนไลน์

  • SEO
  • PPC
  • Social Media
  • Content
  • Email
  • Video
  • Influencer
  • Affiliate
  • และช่องทางอื่น ๆ บนออนไลน์

3. เทรนด์การตลาดออนไลน์ 2023

  1. Short Video – คอนเทนต์วิดีโอสั้นอย่าง Tiktok, Reels ได้รับความนิยมสูงขึ้นเรื่อย ๆ
  2. Influencer Marketing – ROI สูงสุด ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในวงกว้างและสร้างความน่าเชื่อถือได้ง่าย
  3. Website SEO – ยังเป็นการตลาดออนไลน์ที่ควรจะทำอย่างมีประสิทธิภาพ
  4. People – ควรให้ความสำคัญกับคน ความต้องการของลูกค้า มีผลกระทบต่อการตลาด
  5. Direct Message – เน้นการตอบไวแบบทันใจ ตอบโจทย์ความต้องการที่รวดเร็วของลูกค้า
  6. E-Commerce – การช้อปปิ้งออนไลน์ควรนำมาสร้างสรรค์ให้เชื่อมโยงกับ Content
  7. Hyper Personalization – แบรนด์ช่วยเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตรงกับสิ่งที่ลูกค้าต้องการแบบเฉพาะเจาะจง
  8. Affiliate Marketing – มาแรงมาก! ใคร ๆ ก็สามารถได้ค่าคอมมิสชันจากการทำคอนเทนต์โปรโมทสินค้า

4. วิธีทำการตลาดออนไลน์ สำหรับธุรกิจร้านค้าปลีก

  • การตลาดออนไลน์ด้านเว็บไซต์ – สร้างเว็บไซต์, เขียนบทความ, ทำ SEO, ยิง Google Ads, ปักหมุนใน GMB
  • การตลาดออนไลน์ด้านโซเชียลมีเดีย – สร้าง Facebook Instagram Line OA, โพสต์คอนเทนต์ อัปเดตข้อมูลสาร, เข้า Group ที่ใกล้เคียงกับพื้นที่, Live สด เพื่อขายและโปรโมทสินค้า
  • การตลาดออนไลน์ด้านวิดีโอ – สร้าง Youtube Tiktok, ทำคอนเทนต์วิดีโออัปเดตบ่อย ๆ , รีวิวร้าน/รีวิวสินค้าเป็นวิดีโอ, ทำคลิปโปรโมชั่นดึงดูดความสนใจ
  • การตลาดด้าน Influencer – จ้างคนดังแถวนั้นมาโปรโมท, จ้าง Youtuber เข้ามาใช้บริการ, ให้ลูกค้าถ่ายรูปเพื่อเช็กอิน

ถ้าทุกคนชอบคอนเทนต์นี้ ผู้เขียนฝากแชร์ ฝากบุ๊กมาร์คเว็บไซต์ PN Storetailer ไว้กันด้วยน้าา หากมีคอนเทนต์ ความรู้ใหม่ ๆ หรือเทรนด์ธุรกิจต่าง ๆ ที่น่าสนใจ เราจะนำมาฝากอีกแน่นอนค่ะ 💙🧡

ขอบคุณแหล่งข้อมูลเพิ่มเติมจาก :

  • Digital Marketing VS Online Marketing primal.co.th
  • ช่องทางการตลาดออนไลน์ seo-web.aun-thai.co.th
  • ประเด็นเทรนด์การตลาด ปี 2023 brandbuffet.in.th
  • เทรนด์การตลาด 2023 blog.hubspot.com
  • ไอเดียทำการตลาดสำหรับร้านค้าปลีกบางส่วนจาก liveabout.com

ใส่ความเห็น