การวางแผนผังร้านค้าเจ๋ง ๆ ตั้งแต่การตกแต่งหน้าร้านไปจนถึงการเดินเข้ามาในร้าน
ถ้าทุก ๆ พื้นที่ในร้านค้า ถูกออกแบบและวางแผนมาอย่างดี จะสามารถเปลี่ยน Foot traffic หรือ จำนวนลูกค้าที่เดินเข้ามาในร้านได้
หากคุณมีแพลนจะเปิดร้านค้าปลีกสักร้าน กำลังจะออกแบบผังร้านค้าใหม่ และต้องการใช้ความรอบคอบเป็นอย่างมากในการจัดวางพื้นที่ภายในร้านให้เหมาะสม
ลองอ่านบทความนี้.. ที่เรากำลังจะมาแบ่งปัน “แผนผังร้านค้า” และเคล็ดลับการออกแบบภายในร้านค้า ที่มีการพิสูจน์มาแล้วในสากลว่าเจ๋งจริง!!
แผนผังร้านค้าคืออะไร?
ภาพตัวอย่างแผนผังร้านค้า
แผนผังร้านค้า (Store Layout) คือ แผนผังที่กำหนดทิศทางการเดินของลูกค้า (Customer Flow) ที่เข้ามาในร้าน จัดร้านกำหนดตำแหน่ง ชั้นวางสินค้า โซนคิดเงิน โซนโปรโมชั่น และบริเวณต่าง ๆ ภายในร้านค้าให้เป็นไปตามที่ผู้ค้าปลีกต้องการ เพื่อนำเสนอสินค้าและกระตุ้นผู้คนให้เกิดการซื้อ
ประสบการณ์เหล่านี้ในการเดินช้อปของผู้บริโภคที่ได้รับจากร้านของคุณ คือส่วนหนึ่งของการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์หรือธุรกิจร้านค้าที่คุณสร้างขึ้นมา ซึ่งจำเป็นต้องกำหนดกลยุทธ์ให้ถูกจุด และควรได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถันเช่นเดียวกับแง่มุมอื่น ๆ ในการ สร้างแบรนด์
ทำไมต้องใช้แผนผังร้านค้าในการเปิดร้าน?
มีวิจัยร้านค้าปลีกในหลายสำนักบอกไว้ว่า หลังจากที่เข้ามาในร้าน คนส่วนใหญ่มักจะเลี้ยวขวา โดยจะเริ่มต้นเดินตามแผนผังร้านค้าที่คุณได้วางไว้ สิ่งแรกที่พวกเขาเห็นหลังจากเลี้ยวขวาจึงเป็นโซน Power Wall หรือเรียกง่าย ๆ ว่าโซนนี้จะตกลูกค้าได้เยอะมาก
คุณจึง “ควร” วางสินค้าเหล่านี้ “ไว้ทางด้านขวา” ไม่ว่าจะเป็น
- สินค้าที่ได้รับความนิยม
- สินค้าพรีเมี่ยม ที่ต้องการส่งเสริมการขาย
- สินค้าที่ดึงดูดลูกค้า
- สินค้าตามเทศกาล
เพราะโซน Power Wall นี้จะช่วยให้มั่นใจได้ว่า เมื่อลูกค้าเดินเข้ามา พวกเขาจะเห็นสินค้าที่จัดวางไว้อย่างแน่นอน นอกจากจะส่งเสริมการขายแล้ว ยังสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ได้อีกด้วย
ดังนั้นแผนผังร้านค้าจึงมีอิทธิพลมากต่อเส้นทางการเดินช้อปปิ้งของผู้คนที่เดินเลือกซื้อสินค้าภายในร้าน หากถูกออกแบบให้เหมาะสมกับประเภทของร้านค้าตั้งแต่ต้น จะทำให้สามารถกำหนดทิศทางการเดินของลูกค้า และเพิ่มยอดขายให้กับร้านค้าได้ง่าย ๆ เลยทีเดียว
1. แผนผังร้านแบบ Grid
แผนผังร้านค้าแบบ Grid หลาย ๆ คนน่าจะคุ้นเคยกับรูปแบบร้านค้าแบบนี้ดี เพราะแผนผังร้านค้าแบบนี้เป็นที่นิยมใช้เป็นอย่างมากในร้านค้าส่วนใหญ่ เพราะเป็นแผนผังที่จัดเรียงไว้อย่างเรียบง่าย แต่ได้ประสิทธิภาพมากที่สุด โดยเชลฟ์จะเรียงต่อกันไว้ในรูปแบบทางเดินยาวตั้งแต่หน้าร้านไปจนถึงหลังร้าน
ในส่วนของ การจัดเรียงสินค้า จะถูกเติมเต็มบนชั้นวางไม่ให้เหลือช่องว่าง และลดพื้นที่สีขาวให้เหลือน้อยที่สุด เพื่อโชว์สินค้าให้ลูกค้าเห็นอย่างชัดเจน จึงทำให้ลูกค้าสามารถหาของที่ต้องการซื้อได้อย่างง่ายดาย
✎ตัวอย่างร้านค้าที่ใช้แผนผังร้านแบบ Grid
- ร้านสะดวกซื้อ เช่น 7-11 , Family mart
- ร้านขายยาทั่วไป
- ร้านขายของชำเกือบทุกแห่ง
- ไฮเปอร์มาร์เก็ต เช่น Tesco Lotus, BigC
ลักษณะของแผนผังแบบ Grid
- จะวาง สินค้าที่กระตุ้นให้ลูกค้าซื้อ จากด้านหน้าไปถึงด้านหลัง เพื่อเป็นการกำหนดเส้นทางการเดินของลูกค้า ให้สำรวจสินค้าที่กระตุ้นความสนใจไปเรื่อย ๆ
- ด้านหลังจะเป็น สินค้าค้าหลักที่ลูกค้าจำเป็นต้องซื้อ หลังจากที่ลูกค้าเดินตามทางมาแล้ว จะเจอกับสินค้าหลักบริเวณนี้ เช่น ในร้านมินิมาร์ทจะเป็นตู้แช่เครื่องดื่ม ที่ผู้คนมักจะซื้ออยู่เป็นประจำ แต่กว่าพวกเขาจะมาถึงตรงนี้ได้ พวกเขาจะเจอกับสินค้าที่ล่อตาล่อใจมากมาย นั่นทำให้พวกเขาซื้อสินค้าติดมือเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
- เพิ่มป้ายโฆษณาหรือ Shelf talkers ตรงหัวปิดเชลฟ์หรือบริเวณชั้นวางสินค้า เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมของลูกค้าต่อสินค้าบนชั้นวางมากขึ้น
- มีระยะห่างระหว่างทางเดิน 4 ฟุต ป้องกันลูกค้าเดินชนกัน
- วาง สินค้าที่มีได้รับความนิยม ไว้ทางด้านขวา เพื่อให้ลูกค้าสะดุดตาตั้งแต่ครั้งแรกที่เดินเข้ามา
ข้อดีของแผนผังแบบ Grid
- เหมาะสำหรับร้านค้าที่มีสินค้าจำนวนมาก โดยเฉพาะเมื่อสินค้ามีความหลากหลาย
- สามารถเห็นสินค้าได้อย่างชัดเจน ไม่ซับซ้อน
- กระตุ้นให้ลูกค้าเดินดูสินค้าหลาย ๆ ทาง
- ลูกค้าคุ้นเคยกับผังร้านค้าแบบนี้
- สามารถวางสินค้าโปรโมชั่นในจุดที่คุณรู้ว่าลูกค้าจะเห็นได้ง่าย
ส่วนข้อด้อย ก็คงเป็นเรื่องที่แผนผังนี้ถูกใช้เยอะจนโหล สามารถเห็นได้ทั่วไป ไม่แปลกใหม่ ลูกค้าอาจไม่ได้ประสบการณ์การช้อปที่แตกต่าง
แต่ถึงยังไง ‘แผนผังร้านค้าแบบนี้ ก็เป็นแนวทางที่ดีที่สุด’ ที่ได้รับการวิจัยมาเป็นอย่างดีจากผู้เชี่ยวชาญแล้ว คุณสามารถนำไปใช้เปิดร้านของคุณได้ รับรองว่าเวิร์คค่ะ
✎ แบรนด์ร้านค้าปลีกระดับโลกอย่าง Walmart ก็ใช้แผนผังนี้ในการออกแบบร้านค้า
2. แผนผังร้านแบบ Herringbone
หากคุณคิดว่าผังร้านค้าแบบกริด จะเหมาะกับสินค้าคุณแล้วล่ะก็ .. ลองมาพิจารณา แผนผังร้านค้าแบบ Herringbone กันดู ผังร้านแบบก้างปลา หรือ Herringbone จะมีความคล้ายแบบกริดมาก แต่จะมีความแตกต่างกันเล็กน้อยตรงที่ แผนผังแบบก้างปลาจะนำชั้นวางสินค้าไว้ทั้งสองฝั่งติดผนัง และปิดไม่ให้เดินทะลุผ่านกันได้
ตัวอย่างร้านค้าที่ใช้แผนผังร้านแบบ Herringbone
- ร้านหนังสือ
- ร้านฮาร์ดแวร์ขนาดเล็ก
- ห้องสมุดชุมชนขนาดเล็ก
ลักษณะของแผนผังแบบ Herringbone
- จะคล้ายแบบกริดตรงที่ สินค้าที่มีได้รับความนิยม จะอยู่ด้านขวา
- ชั้นวางจะติดผนังแยกเป็นสองฝั่ง
- เส้นทางการเดินของลูกค้า จะไม่สามารถเดินทะลุผ่านกันไปมาได้ ทำได้เพียงเดินย้อนกลับไปทางเดิม เพื่อไปที่ชั้นวางโซนใหม่
- เคาน์เตอร์คิดเงิน จะอยู่ท้ายสุดของร้าน
ข้อดีของแผนผังแบบ Herringbone
- เหมาะสำหรับร้านค้าที่มีสินค้าจำนวนมาก “แต่มีพื้นที่น้อย”
- เหมาะกับร้านค้าสไตล์โกดัง ที่เปิดให้คนทั่วไปสามารถเข้าไปใช้งานได้
- เหมาะกับร้านที่อยากให้ลูกค้ามีส่วนร่วมกับสินค้านาน ๆ
- เหมาะกับร้านที่ลูกค้ามีความตั้งใจที่จะซื้อสินค้านั้นมาก ๆ เพราะต้องใช้เวลาในการอยู่กับชั้นวางเหล่านั้นนานหน่อยโดยที่ไม่เบื่อ
ส่วนข้อด้อย คือ จะมองไม่เห็นช่องทางเดินถัดไป และทางเดินมันไม่ทะลุถึงกัน ต้องเดินเข้าไปและเดินกลับออกมา
นอกจากจะทำให้ลูกค้าต้องเดินซ้ำซ้อนไปมา การปิดทางแบบนี้สามารถเพิ่มโอกาสในการขโมยของในร้านได้ (ดังนั้นจึงต้องติดกล้องวงจรปิดไว้ด้วยนะ)
ตัวอย่าง คุณสามารถใช้พื้นที่ของชั้นวางทางด้านขวาไว้สำหรับส่งเสริมการขายและจัดโปรโมชั่นได้ หรือถ้าเป็นร้านหนังสือ อาจทำให้เป็นจุดรวมหนังสือขายดี 10 อันดับ เป็นต้น
ร้านบางสือบางแห่งชอบใช้แผนผังนี้ เพราะต้องการให้ผู้คนได้รับประสบการณ์ที่ดีและมีความสุขที่สุด จึงทำมุมที่มีโต๊ะและเก้าอี้ให้นั่งสบาย ๆ ในส่วนท้ายของร้าน ก่อนที่ลูกค้าจะจ่ายเงินหรือออกไปจากร้านโดยไม่ซื้ออะไร เพื่อให้พวกเขามีตัวเลือกว่าจะออกจากร้านไปเลย หรือจะนั่งอ่านหนังสือต่อดี ช่วยให้ร้านดูมีลูกเล่นที่ดึงดูดลูกค้าให้อยู่ที่ร้านของคุณนาน ๆ นั่นเอง
3. แผนผังร้านแบบ Loop / Racetrack
แผนผังร้านค้าแบบ Loop / Racetrack หรือผังร้านค้าแบบลู่วิ่ง เป็นการทำให้แผนผังแบบกริด ง่ายไปอีกขั้น โดยจะจัดวางเป็นวงแบบปิดโดยรอบ มีจุดประสงค์คือ “ต้องการให้ลูกค้าเดินผ่านสินค้าทุกประเภท ในทุก ๆ ชั้นวาง ตั้งแต่ทางเข้าไปจนถึงจุดชำระเงิน” ส่วนตรงกลาง จะเป็นไฮไลท์ของร้าน โปรโมชั่น หรือสินค้าที่จะต้องส่งเสริมการขาย
ตัวอย่างร้านค้า ที่ควรใช้แผนผังนี้ เช่น
- ร้านเสื้อผ้า
- ร้านสกินแคร์และเครื่องสำอาง
- ร้านอุปกรณ์กีฬา
- ร้านขายของแต่งรถ
- ร้านเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้าน
ลักษณะของแผนผังแบบ Loop
- ทุกอย่างจะอยู่ตรงกลางหมด ไม่ว่าจะเป็น เคาน์เตอร์คิดเงินหรือเคาน์เตอร์แคชเชียร์ , สินค้าที่น่าสนใจ, สินค้าที่อยากโชว์หรือส่งเสริมการขาย, สินค้ากระตุ้นการซื้อ
- ส่วนสินค้าที่ได้รับความนิยมก็จะอยู่ด้านขวาเหมือนเดิม
- โดยรอบร้านจะเป็นสินค้าหลักที่ลูกค้ามักจะซื้ออยู่เป็นประจำ
ข้อดีของแผนผังแบบ Loop
- เห็นสินค้าทุกประเภทอย่างชัดเจน
- วางสินค้าโปรโมชั่นง่ายและมั่นใจได้ว่าลูกค้าจะเห็นแน่นอน
- เหมาะกับร้านค้าที่ต้องใช้เวลาค่อนข้างนานในการเดินสำรวจ
ส่วนข้อด้อย ของแผนผังแบบนี้ก็คือ มันอาจเสียเวลาสำหรับลูกค้าที่รู้อยู่แล้วว่าพวกเขาจะซื้ออะไร หรือตัดสินใจซื้อในระยะเวลาอันสั้น เพราะเส้นทางมันถูกบังคับไปแล้วว่าต้องเดินวนไปรอบ ๆ
✎ แผนผังนี้มันจึงนำมาใช้กับร้านเฟอร์นิเจอร์ชื่อดังระดับโลก อย่าง IKEA
ถ้าคุณเคยไป IKEA คุณจะรู้ดีว่ามันมีข้อดีหรือข้อเสียอะไร เพราะสำหรับคนที่ต้องการใช้เวลาไตร่ตรอง ใช้ความคิดสร้างสรรค์ เพื่อจุดประกายไอเดียในการแต่งบ้าน จะรู้สึกชอบแผนผังร้านค้าแบบนี้มาก แต่สำหรับคนที่ไปที่นั่น เพื่อซื้อของบางอย่างที่คิดมาจากบ้านแล้ว ว่าจะเอาอันนี้นะ แผนผังร้านแบบนี้ มันจะทำให้คุณหงุดหงิดหน่อย ๆ เลยแหละ (แผนผังนี้เป็นแบบเดียวกับบ้านผีสิง เพราะมีแนวคิดเดียวกันคืออยากให้คนที่เข้ามา ได้รับประสบการณ์และได้ใช้เวลาข้างในนาน ๆ)
แต่แผนผังร้านค้าแบบ Loop ก็ไม่ได้ทำให้หงุดหงิดเสมอไป ถ้าคัดเลือกสินค้ามาอย่างดี และจัดเรียงประเภทสินค้าอย่างมี มีป้ายบอกโซนชัดเจน และจัดวางสินค้าเพื่อจุดประสงค์ที่เหมาะสม
อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม :
4. แผนผังร้านแบบ Free-Flow
หลักของแผนผังร้านค้าแบบ Free-Flow ก็คือตรงตัวเลยว่า “อิสระ” ซึ่งการจัดร้านแบบนี้โซนสินค้าจะกระจายตัวรอบ ๆ ร้าน และไม่ได้บังคับให้ลูกค้าเดินไปทางใดทางหนึ่งอย่างชัดเจน แต่จะเน้นที่ความสบายใจของลูกค้าแทน
แม้แผนผังแบบนี้จะดูง่าย แต่ความยากของมันอยู่ที่ การเน้นไปที่สินค้าและตำแหน่งการจัดวางมากกว่า ว่าจะทำยังไงให้องค์ประกอบดูน่าสนใจ แต่ไม่ดูมั่วซั่ว
ลักษณะของแผนผังแบบ Free-Flow
- เคาน์เตอร์คิดเงิน จะอยู่ด้านซ้าย
- สินค้าที่ได้รับความนิยม จะจัดเป็นซุ้มอยู่ด้านขวา
- ที่เหลือก็กระจายสินค้าตามความเหมาะสม
ข้อดีของแผนผังแบบ Free-Flow
- เหมาะสำหรับพื้นที่ขนาดเล็ก
- ปรับให้ผสมผสานกับแผนผังแบบอื่นได้ง่าย
- ทำให้ร้านดูสบายตา มีพื้นที่มากขึ้น
- โอกาสน้อยที่ลูกค้าจะเดินชนกัน
- มีแนวโน้มที่จะสร้างประสบการณ์ในการช้อปที่ดีให้ลูกค้า
- เหมาะกับร้านระดับไฮเอนด์ ที่มีจัดสินค้าน้อย แต่เน้นความสวยงาม
ส่วนข้อด้อย ก็จะเป็นการมีพื้นที่ให้สินค้าน้อย อาจสร้างความสับสนให้ลูกค้าที่ไม่รู้จะเดินไปตรงไหนก่อนดี และทำให้ลูกค้าเดินออกจากร้านไปได้ง่าย
ฉะนั้นถ้าต้องการที่จะใช้แผนผังชั้นวางแบบนี้ ร้านของคุณก็ควรจะเป็นร้านที่เน้นความสร้างสรรค์ และเน้นโชว์ความสวยงามของสินค้า เช่น
- ร้านเสื้อผ้าหรู ๆ
- ร้านรองเท้า
- ร้านกระเป๋า
✎ตัวอย่างร้านค้าปลีกระดับโลกที่ใช้แผนผังนี้
- Nike
- Zara
ภาพจาก news.nike , retailnews
5. แผนผังร้านค้าแบบ Mixed / Multiple
การออกแบบแผนผังร้านค้า ไม่จำเป็นต้องใช้แผนผังแค่แบบเดียว เพราะมันสามารถปรับเปลี่ยนและนำมาผสมผสานกัน เพื่อให้เหมาะสมกับร้านของคุณที่สุดได้ด้วย ซึ่งก็อยู่ที่ว่าคุณจะ ออกแบบร้านค้า ของคุณให้ออกมาเป็นยังไง และต้องการนำเสนออะไรให้กับลูกค้าของคุณ เห็นได้ชัดในห้างสรรพสินค้าหลาย ๆ ห้าง ที่จะเน้นการผสมผสานอยู่หลายร้านเลยทีเดียว แผนผังร้านแบบ Mixed หรือ Multiple จึงเป็นอีกแผนผังที่ได้รับความนิยมในร้านค้าปลีกระดับโลก
ภาพแผนผังร้านค้าแบบ Mixed
✎ ตัวอย่างร้านค้าปลีกแบรนด์ระดับโลก Louis Vuitton จะสังเกตได้ว่าร้านนี้จะเน้นผสนมผสานระหว่าง แผนผังร้านแบบ Free-Flow เข้ากับ แผนผังแบบ Loop เพื่อให้อิสระแก่ลูกค้า พร้อมกับให้ลูกค้าได้มีประสบการณ์ที่ดีด้วยการดื่มด่ำกับบรรกาศความ Hi-Fashion ของร้านได้อย่างลงตัว
ภาพตัวอย่างช็อป Louis Vuitton by dezeen
✎ Special Talk หากผู้ประกอบการที่ได้มาอ่านบทความนี้ และต้องการเปิดร้านค้า.. ชั้นวางสินค้า PN มีบริการผลิตชั้นวางสินค้าสำหรับร้านค้าทุกประเภท และเรายังมีบริการออกแบบร้านค้าเพื่อวางแปลนเชลฟ์และจัดเรียงอุปกรณ์ร้านค้าต่าง ๆ สำหรับลูกค้าที่สั่งผลิตชั้นวางสินค้ากับเรา เพื่อให้เหมาะสมกับพื้นที่และประเภทร้านค้าของคุณได้
เรามีทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่ทั้งวาดแผนผังร้านค้าแบบวาดมือ รวมถึงภาพร้านค้าปลีกแบบ 3D สำหรับร้านที่อยากเห็นรายละเอียดร้านแบบเฉพาะเจาะจงด้วย เพื่อให้ลูกค้าสามารถเห็นภาพร้านค้าก่อนที่จะเปิดร้านจริง
ทุกคนลองชมตัวอย่างภาพ 3D ที่ทาง PN ออกแบบไว้ได้ที่ด้านล่างนะ
ดูเพิ่มเติมได้ที่ : ผลงานการวางแปลนชั้นวางสินค้า 3D
✔ สรุป
เมื่อคุณเปิดร้านค้า และต้องการที่จะเลือกแผนผังร้านค้าไปใช้กับร้านของคุณ ให้พิจารณาว่า สินค้าของคุณคืออะไร?, ต้องการให้ลูกค้าเดินไปในทิศทางไหน?, พฤติกรรมของนักช้อปในร้านของคุณ มีแนวโน้มจะเป็นยังไง?
- แผนผังร้านค้าแบบ Grid – นิยมมากที่สุด จัดแบบเรียงกันตั้งแต่หน้าร้านไปถึงหลังร้านแบบง่าย ๆ ไม่ยุ่งยาก แต่มีประสิทธิภาพ ตัวอย่างร้านเช่น 7-11
- แผนผังร้านแบบ Herringbone – คล้ายแบบกริด แต่ชั้นวางสินค้าทั้งสองฝั่งจะติดผนัง ปิดไม่ให้เดินทะลุผ่านกันได้ ตัวอย่างร้านเช่น ร้านหนังสือ
- แผนผังร้านแบบ Loop / Racetrack – ตรงกลางเป็นไฮไลท์หรือโซนสินค้าโปรโมชั่น รอบ ๆ จะเป็นสินค้าหลัก จัดเรียงวนกันไว้เป็นแบบปิด ตัวอย่างร้านค้าเช่น IKEA
- แผนผังร้านแบบ Free-Flow – จัดร้านโดยให้ชั้นโชว์สินค้ากระจายตัวอยู่รอบ ๆ ร้านแบบอิสระและสร้างสรรค์ ตัวอย่างร้านค้าเช่น Nike, Zara
- แผนผังร้านค้าแบบ Mixed / Multiple – เป็นการผสมผสานแผนผังร้านค้าหลายแบบไว้ด้วยกัน เพื่อให้ตอบโจทย์การวางสินค้ามากที่สุด ตัวอย่างร้านค้าเช่น Louis Vuitton
หากคุณเป็นร้านค้าที่มีสินค้าจำนวนมาก ให้พิจารณา แผนผังร้านค้าแบบ Grid แต่ถ้าคุณต้องการให้เป็นร้านที่ผู้ซื้อใช้เวลาในการเลือก และอยู่ในร้านนาน ๆ ก็ลองพิจารณาผสมผสานกันระหว่างแบบ Loop และ Free-Flow
ส่วนถ้าจะเลือกแบบ Herringbone ก็ต้องพิจารณาพื้นที่และความกว้าง ความยาว ของร้านค้า ว่ามีขนาดเล็กหรือไม่
แล้วผังร้านค้าแบบไหนล่ะ? ที่เหมาะสมกับร้านของคุณ ยังไงก็ลองเลือกไปใช้ในการเปิดร้านของคุณดูนะคะ
และอย่าลืมติดตามบทความต่อ ๆ ไปของ PN Storetailer กันด้วยนะคะ 🙂
ขอบคุณแหล่งที่มาเพิ่มเติมจาก :
- The Ultimate Guide to Retail Store Layouts by shopify
บทความแนะนำ
จัดการทุกอย่างในร้านค้าให้ง่ายราวกับดีดนิ้ว!! ด้วย “ระบบ POS”
มาไขข้อข้องใจให้คนที่ยังไม่ทราบหรือกำลังเปิดร้านใหม่ๆ ให้ได้เข้าใจว่า ระบบ POS คืออะไรและทำไมร้านของคุณต้องมี ตามมาอ่านกันเลยค่ะ!
เม.ย.
9 Tips ออกแบบร้านค้าปลีกยังไงให้ดึงดูดลูกค้า
บอกต่อ 9 เคล็ดลับการออกแบบร้านค้าปลีกให้ดึงดูดลูกค้า ตั้งแต่เริ่มต้นไปจนถึงกระบวนการสุดท้าย ต้องออกแบบอย่างไรบ้าง? .. ลูกค้าถึงจะอยากเดินเข้ามาช้อปในร้านของคุณ
เม.ย.
Cross selling คืออะไร? พร้อม 7 ตัวอย่างที่อ่านแล้วเข้าใจทันที!
Cross selling คือการขายสินค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อแสดงผลิตภัณฑ์ร่วมกันระหว่างหมวดหมู่สินค้าที่แตกต่าง แต่มีความสอดคล้องกัน ดึงดูดลูกค้าให้ซื้อมากขึ้น
เม.ย.