แฟรนไชส์ คืออะไร? ไปรู้จักโมเดลธุรกิจนี้ให้มากขึ้นกันเถอะ!

หน้าปกบทความ แฟรนไชส์ คือ

ทุกวันนี้คุณน่าจะเห็นธุรกิจ แฟรนไชส์ กระจายอยู่ในทุกพื้นที่ของประเทศเลยก็ว่าได้ 

เพราะแฟรนไชส์ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่วงการธุรกิจประเภทเดียว เพราะมันสามารถเปิดร้านหรือกิจการได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งธุรกิจร้านอาหาร, ธุรกิจร้านสะดวกซื้อ, ธุรกิจเครื่องดื่ม และอื่น ๆ อีกมากมาย

หากคุณกำลังมีความสนใจในธุรกิจแฟรนไชส์ แต่ยังไม่ค่อยเข้าใจกับมันเท่าไหร่นัก บทความนี้เราจะมาอธิบายให้คุณเข้าใจมากขึ้นค่ะ

1. แฟรนไชส์ คืออะไร? 

แฟรนไชส์ คือ การโคลนนิ่งธุรกิจหรือร้านค้า หรือเป็นวิธีการขยายร้านค้า ขยายตลาดเพื่อให้ธุรกิจเติบโตกว่าเดิม โดยเจ้าของธุรกิจต้นฉบับหรือ ผู้ถือครองสิทธิ์ (franchisor) จะขายธุรกิจนี้ในรูปแบบของแฟรนไชส์ต่อให้ ผู้รับสิทธิ์ (franchisee) นำไปเปิดร้านแบบเดียวกัน 

ซึ่ง franchisor หรือเจ้าของธุรกิจ ตราสินค้า หรือแบรนด์นั้น ๆ ที่เป็นผู้ถือสิทธิ์ของแฟรนไชส์ จะต้องนำองค์ความรู้ทั้งหมด และเคล็ดลับต่าง ๆ เกี่ยวกับธุรกิจนั้นไปถ่ายทอด เพื่อให้รูปแบบของร้านค้าในทุก ๆ สาขาที่ซื้อแฟรนไชส์ต่อได้ทำตามแบบเดียวกัน 

ตัวอย่างแบบง่ายที่สุด ที่ทุกคนจะต้องรู้จักนั่นก็คือ 7-Eleven เลยค่ะ จะเห็นได้ว่า 7-11 มีหลายสาขาทั่วประเทศ นั่นเป็นเพราะการทำแฟรนไชส์ที่ประสบความสำเร็จ จึงทำให้ขยายสาขาไปอย่างกว้างขวาง 

2. รูปแบบธุรกิจของแฟรนไชส์เป็นยังไง? 

รูปแบบธุรกิจของแฟรนไชส์ มีลักษณะคือ เจ้าของสิทธิ์ อนุญาตให้ผู้รับสิทธิ์ สามารถดำเนินธุรกิจตามแบบของตนได้ ผู้รับสิทธิ์นั้น ก็แค่ต้องจ่ายเงินซื้อแฟรนไชส์มา ไม่ต้องเริ่มทั้งหมดด้วยตัวเอง เพราะจะมีเจ้าของสิทธิ์มาสอนทุกอย่าง และทุกกระบวนการ รวมไปถึงสูตรลับที่ร้านนั้น ๆ ใช้ดำเนินธุรกิจด้วย 

แต่การส่งต่อนั้น ไม่มีคำว่าฟรีแน่นอน เพราะมันมีค่าธรรมเนียมตั้งแต่เริ่มต้นธุรกิจไปจนถึงสัญญาซื้อที่ต้องจ่ายแบบต่อเนื่อง ในการซื้อแฟรนไชส์ของธุรกิจนั้น ๆ มาเปิดเป็นของตัวเอง 

อ่านเพิ่มเติม :

3. ระบบของแฟรนไชส์

ค่าใช้จ่ายในการซื้อแฟรนไชส์ มักจะขึ้นอยู่กับผลประกอบการของผู้ถือสิทธิ์ ถ้าร้านไม่ดังมากเท่าไหร่ ค่าธรรมเนียมต่อเนื่องอาจต่ำถึง 4% หรือ 5% 

ถ้าร้านดังและได้รับความนิยมมาก ค่าธรรมเนียมอาจสูงถึง 20% เลยทีเดียวค่ะ แต่บางทีค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์ ก็มักจะขึ้นอยู่กับระดับการสนับสนุนของผู้รับสิทธิ์ด้วยนะ 

ตัวอย่างแฟรนไชส์

ตัวอย่างเช่น ผู้รับสิทธิ์อาจช่วยในการออกใบแจ้งหนี้ หรือนำลูกค้าใหม่ ๆ มาซื้อแฟรนไชส์ต่อ ซึ่งก็อาจทำให้ได้รับส่วนลดในค่าธรรมเนียมการซื้อต่อมากขึ้น 

ทีนี้ คุณก็ต้องลองถามตัวเองว่า คุณต้องการซื้อแฟรนไชส์ต่อจากคนอื่น หรือคุณต้องการสร้างแฟรนไชส์ธุรกิจของคุณมากกว่า?

4. ข้อควรพิจารณาสำหรับผู้รับสิทธิ์ หรือ franchisee 

ลองค้นหาสิ่งที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณมากที่สุด ประกอบกับการประสบความสำเร็จของแฟรนไชส์นั้น ๆ ที่คุณสนใจ รวมถึงการทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับราคาที่เหมาะสม

ถ้าคุณไม่รู้ ก็สามารถถามจากคนที่มีประสบการณ์ในการทำแฟรนไชส์นั้นจริง ๆ รับรองว่าเขาจะให้ข้อมูลที่ดีกับคุณแน่นอน 

ในขณะที่คุณกำลังหาข้อมูลอย่างละเอียดเกี่ยวกับแฟรนไชส์ คุณก็ต้องพิจารณาตัวคุณเองด้วยนะคะ ว่าคุณมีคุณสมบัติพร้อมหรือไม่ เช่น

  • คุณเหมาะกับแฟรนไชส์นั้นจริง ๆ รึเปล่า? 
  • คุณพยายามที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลาหรือไม่?
  • คุณสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดในการดำเนินธุรกิจนั้น ๆ หรือไม่?
  • หากคุณกำลังทำงานประจำอยู่ สภาพร่างกายและจิตใจของคุณพร้อมที่จะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงหรือไม่?
  • คุณเตรียมรับมือกับปัญหาต่าง ๆ ที่จะเข้ามาหรือยัง 

ทุกสิ่งไม่มีอะไรที่ราบรื่นเสมอไป ไม่ว่าจะทำงานหรือกิจการอะไร ก็ย่อมมีอุปสรรคที่เข้ามาเสมอ

อยู่ที่ว่าคุณจะพร้อมรับมือกับมันรึเปล่า ถ้าคุณพร้อมจะลุย ก็ไม่มีอะไรมาขวางคุณได้ จัดไปให้เต็ม Max เลยค่ะ! 

5. ข้อควรพิจารณาสำหรับผู้ถือสิทธิ์ หรือ franchisor 

หากคุณกำลังพิจารณาที่จะดำเนินธุรกิจแฟรนไชส์ด้วยตัวเอง ให้ตรวจสอบให้แน่ใจว่า คุณเหมาะสมกับระบบแฟรนไชส์แล้วหรือยัง

  • ธุรกิจของคุณสามารถทำร่วมกับคนอื่นได้ดีหรือไม่? 
  • ถ้าคุณเป็นเจ้าของแฟรนไชส์ คุณสามารถรับสมัครฝึกอบรมและสนับสนุนคนที่ผู้รับสิทธิ์แฟรนไชส์ของคุณได้หรือไม่?
  • ธุรกิจของคุณสามารถสร้างกำไรเพียงพอ สำหรับแฟรนไชส์ของคุณ และสาขาทั้งหมดหรือไม่?
  • ก่อนที่คุณจะขายสิทธิ์ในการใช้ชื่อร้านค้าของคุณให้กับผู้อื่น คุณต้องแน่ใจว่าคนที่ซื้อสิทธิ์ไป จะรักษาคุณค่าของแบรนด์และบริการที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างคุณภาพที่ดีให้ธุรกิจแฟรนไชส์ของคุณ

หากคุณพิจารณาสิ่งเหล่านี้อย่างถี่ถ้วนแล้ว และคุณมีพร้อมทุกอย่างแบบไม่ขาดตกบกพร่องแล้ว คุณก็พร้อมที่จะเป็นเจ้าของแฟรนไชส์ได้ค่ะ 🙂 

6. สัญญาและค่าธรรมเนียมของแฟรนไชส์

  • ส่วนของสัญญา

หากการพิจารณาและการตรวจสอบเป็นไปได้ดีทั้งสองฝ่าย ทั้งเจ้าของสิทธิ์และผู้รับสิทธิ์จะลงนามทำสัญญากันตามข้อตกลง 

ซึ่งการซื้อแฟรนไชส์ อาจมีเรื่องของความซับซ้อนทางกฎหมาย เข้ามาเกี่ยวข้องในข้อตกลงด้วยนะคะ ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงควรปรึกษาผู้ที่มีความรู้ในด้านนี้โดยเฉพาะ ก่อนที่จะตกลงทำสัญญา

การตกลงทำสัญญาแฟรนไชส์
  • ส่วนของค่าธรรมเนียม

ผู้ซื้อแฟรนไชส์ จะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมดังนี้ 

1. ค่าธรรมเนียมเริ่มต้น เพื่อซื้อแฟรนไชส์ (ที่ปกติจะเป็นเงินก้อน) ให้กับผู้ถือสิทธิ์ในการที่จะดำเนินธุรกิจต่อไป 

2.ค่าธรรมเนียมการจัดการ หรือเงินรายงวด เป็นสิ่งที่ต้องจ่ายอย่างต่อเนื่อง 

 โดยการจ่ายเงินครั้งนี้ มักจะเป็นรอบรายเดือน, 2 เดือน, หรือไตรมาส เงินส่วนนี้ เหมือนเป็นการจ่ายเพื่อให้เจ้าของสิทธิ์นำไปพัฒนาสินค้าและบริการให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น

 ไม่ว่าจะเป็น

  • การโปรโมทโฆษณาแบรนด์หรือร้านค้า
  • สนับสนุนการขายหรือ จัดโปรโมชั่น 
  • ซื้อวัสดุหรือผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เข้ามา 

หรืออาจจะเรียกได้ว่า ค่าธรรมเนียมส่วนนี้คล้าย ๆ กับการที่เราจ่ายภาษีให้รัฐบาลนำไปพัฒนาประเทศนั่นเอง 😀

ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับคุณแล้วว่า จะเลือกรัฐบาลที่ใช่ รัฐบาลที่บริหารเก่งหรือไม่.. 

ถ้าคุณเลือกพลาดไปเจอรัฐบาล (ธุรกิจแฟรนไชส์) ที่บริหารไม่เป็น รับรองว่า ประเทศ (ธุรกิจของคุณ) มีโอกาสเจ๊งสูงค่ะ 

7. ความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน

การทำธุรกิจแฟรนไชส์ ไม่ใช่ธุรกิจที่ทำด้วยตัวคุณเองคนเดียวแล้วจะประสบความสำเร็จ

เพราะมันต้องมีการทำงานร่วมกันระหว่าง แฟรนไชส์ซอกับแฟรนไชส์ซี (เจ้าของผู้ถือสิทธิ์กับผู้รับสิทธิ์) รวมถึงสาขาอื่น ๆ ในเครือข่ายของแฟรนไชส์ด้วย 

รูปแบบธุรกิจนี้ ต้องการความสัมพันธ์ที่ต่อเนื่องระหว่างทั้งสองฝ่าย และมันมักจะใช้เวลานานหลายปี

ถ้าทั้งสองฝ่ายทำงานร่วมกันอย่างไม่มีความขัดแย้ง ทำตามสัญญาที่ตกลงกันไว้ และมีความซื่อสัตย์ต่อกัน รับรองว่าธุรกิจแฟรนไชส์ก็จะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอนค่ะ ^6^ 

อ่านเพิ่มเติม :

✔ สรุป

อ่านมาถึงตรงนี้ คุณก็คงรู้จักกับแฟรนไชส์มากขึ้นแล้ว  

ธุรกิจแฟรนไชส์ จะต้องเรื่มจากความสำเร็จของธุรกิจหนึ่งก่อน จึงจะสามารถขยายธุรกิจต่อไปได้ ซึ่งหากคุณอยากเป็นเจ้าของแฟรนไชส์เอง คุณจะต้องมีความมุมานะที่จะสร้างอัตลักษณ์ให้ร้านค้าของคุณให้น่าดึงดูดก่อน

ซึ่งการเริ่มต้น แน่นอนว่ามันยาก แต่เมื่อคุณสามารถบรรลุเป้าหมายได้ คุณจะกลายเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ได้ทันที

ขณะเดียวกันถ้าคุณต้องการจะซื้อแฟรนไชส์ต่อจากคนอื่น คุณจะต้องยอมลงทุนกับความเสี่ยงด้วย

เพราะการที่เจ้าของประสบความสำเร็จ ไม่ได้แปลว่าคุณจะประสบความสำเร็จไปด้วย เพราะมันมีปัจจัยหลายอย่าง เมื่อรู้จักกับมันมากขึ้น คุณอยากจะลองดำเนินธุรกิจนี้ดูไหมคะ  ถ้าอยากลองก็เริ่มเลยค่ะ!! 

ติดตามอ่านบทความอื่น ๆ ของ Pn storetailer ด้วยนะคะ

ขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก :

ใส่ความเห็น